อีกหนึ่งศิษย์เก่าผลผลิตของทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เจ้าของ “บ้านไร่ ไออรุณ” Farmstay จังหวัดระนอง ที่พักท่ามกลางธรรมชาติ เปลี่ยนอาชีพจากสถาปนิกสู่เกษตรกร ทุกคนคงอยากรู้จักพี่คนนี้ ไปทำความรู้จักกันเลย
สวัสดีค่ะ แนะนำตัวให้น้องๆ ได้รู้จักหน่อยค่ะ
สวัสดีครับชื่อนายวิโรจน์ ฉิมมี หรือเรียกว่าพี่เบสท์ก็ได้ครับ พี่เป็นศิษย์เก่าจากสาขาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สำเร็จการศึกษาปีการศึกษา ๒๕๕๒ ครับ ปัจจุบันอาชีพของพี่คือเกษตรกรครับ
จุดเริ่มต้นของนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี
ความฝันอยากออกแบบบ้านได้ด้วยตัวเองครับ และที่เลือกสถาปัตยกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี รู้จักรุ่นพี่คนนึงที่แนะนำมา เมื่อได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศของมหาวิทยาลัย รู้สึกชอบจึงเลือกเรียนที่นี่ครับ
เปิดเผยผลการเรียนให้น้องๆ รู้ได้ไหมคะ
ตอนเรียนไม่ได้เป็นนักศึกษาเรียนเก่งอะไรครับ สำหรับเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ ๓.๑๐ ซึ่งเคล็ดลับในการเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ ขยัน สร้างสรรค์ ตรงต่อเวลา คิดและลงมือทำ ต่อยอดจากจินตนาการ ลงสู่แผ่นกระดาษ และต้องนำไปสร้างจริงให้ได้
ตอนเรียน ทำกิจกรรมอะไรบ้างคะ มีความทรงจำ ความประทับใจ เล่าให้น้องๆ ฟังหน่อยค่ะ
เมื่อเข้ามาเรียนที่นี่ ทำกิจกรรมทุกอย่างที่นักศึกษาทั่วๆไปทำครับ ขึ้นสแตนเชียร์ ช่วยงานที่คณะ รวมไปถึงงานของมหาวิทยาลัย ส่วนเรื่องของความทรงจำ ความประทับใจ ในมหาวิทยาลัยจริงๆแล้ว เป็นคนต่างจังหวัดคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนในเมือง แต่ที่คลอง ๖ บรรยากาศ สังคม เพื่อน เหมือนอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด มีรอยยิ้ม ช่วยเหลือ แบ่งปัน ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ เพื่อนๆในคณะ หรือนอกคระ ทุกคนน่ารักมากๆ เลิกเรียนก็ขับมอเตอร์ไซต์ออกไปตลาดนัด ซื้อกับข้าว กลับหอ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย อยากเข้าไปกรุงเทพ ก็นั่งรถตู้หรือรถเมล์ไป เวลาว่างก็จะมานั่งเล่นในสวนของมหาวิทยาลัย เพราะร่มรื่น อากาศดีและน่าพักผ่อนมากๆ ครับ ผมเลยรู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้เป็นแค่หาวิทยาลัย แต่ที่นี่เป็นเหมือนบ้านหลังที่ ๒ ของเราจริงๆครับ
จุดเปลี่ยนจากสถาปนิก สู่อาชีพเกษตรกรได้อย่างไรคะ
มันคือ ความฝันครับ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่เคยเข้าไปอยู่ในกรุงเทพ เรียนจบมาทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ชีวิตที่ต้องดิ้นรนอยู่ในเมืองใหญ่ มันไม่ได้ง่ายสำหรับผมเลย ผมมักจะย้อนถามตัวเองอยู่เสมอว่า จริงๆแล้วคือเราต้องการอะไรกันแน่ ชีวิตที่หวือหวา ชีวิตที่ต้องอยู่กับการแข่งขัน ชีวิตที่อยู่ในกรอบ แล้วความฝันของเราคืออะไร ? “ผมอยากมีบ้านหลังเล็กๆ ที่ผมออกแบบเองให้พ่อกับแม่ได้อยู่ ใช้ชีวิตพอเพียงท่ามกลางธรรมชาติ” นี่คือความฝันของผม แล้วตอนนี้เรามัวทำอะไรอยู่ มัวเล่นอะไรอยู่นะ พ่อกับแม่ก็เริ่มแก่ลงทุกวัน มันคงต้องถึงเวลาแล้วละที่ผมต้องลุกขึ้นมาจัดการกับชีวิตให้กับตัวเอง (ทำงาน ๔ ปี เงินเก็บแทบไม่มีเลย แล้วจะเอาเงินจากไหนมาสร้างบ้านละ) ผมตัดสินใจลาออกจากงาน ผมขนของทุกอย่างกลับมาอยู่บ้านเกิด ด้วย..ความเชื่อมั่นสุดหัวใจว่า ผมจะต้องทำตามความฝันของผมให้เป็นจริง
เล่าถึง Farmstay บ้านไร่ ไออรุณ ซึ่งตอนนี้เป็นที่รู้จักของใครหลายๆ คนหน่อยค่ะ
ตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึง ผมเห็นบ้าน ทั้งเก่าและโทรมมาก เริ่มปัดกวาดเช็ดถู ซื้อสีมาทา (มีเงินอยู่ ๒๐,๐๐๐ บาท / เป็นเงินเดือนเดือนสุดท้าย) รายได้บางส่วนก็ได้มาจากในสวน, จากการนำผักไปขายบ้าง, ทำสินค้าเกษตรขายบ้าง ได้เงินมาเท่าไหร่ก็นำมาทำบ้านทั้งหมด ปรับปรุงทำไปเรื่อยๆตามกำลังที่เรามี โชคดีที่พ่อแม่ไม่เคยขัดสิ่งที่ผมทำเลย ที่สำคัญพ่อลงมือช่วยผมทุกอย่าง จนบ้านของเราเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ (ตอนทำงานเราใช้เงินเป็นตัววัดงาน design แต่ตอนนี้เราไม่มีเงิน ผมก็ต้องมองหาสิ่งที่เรามี นำมาปรับใช้ให้คุ้มค่าที่สุด) ผมนำกระบวนการคิดทุกอย่าง ที่ร่ำเรียนมา มาต่อยอดกับสิ่งที่เรามี วัสดุบางอย่างเราไม่ต้องซื้อ ของบางอย่างเราก็ฝึกทำกันเองได้ โดยใช้เงินให้น้อยที่สุด ชวนพ่อไปตัดไม้จากในสวน เก็บเศษไม้กิ่งไม้ วัสดุเหลือใช้ ช่วยกันเลื่อยไม้ ฝึกทำกันเองทุกอย่าง ก่อร่างสร้างฝันมันขึ้นมา ควบคู่ไปกับการปรับปรุงสภาพแวดล้อม แปลงเกษตรอบๆบ้าน ๒ ปีกว่าๆผ่านไป ตอนนี้ บ้านเก่าๆหลังนั้น เริ่มดี สะอาดและน่าอยู่ขึ้น สิ่งที่ผมตั้งใจกลับมานั้น มันเป็นความจริง ถึงแม้วันนี้ ผมอาจจะดูโทรมๆไปบ้าง แต่มันก็คุ้มค่ามาก กับสิ่งที่ได้มา มากไปกว่านั้น บ้านหลังนี้ทำให้พ่อกับแม่ยิ้มได้และมีความสุขมากขึ้น และเริ่ม farmstays ที่มีชื่อว่า บ้านไร่ ไออรุณ ครับ
ความลงตัวของ farmstays บ้านไร่ ไออรุณทุกวันนี้
จากการนำฝันของทุกคนในบ้านมารวมกัน พ่อชอบทำสวน ชอบอยู่ในที่เงียบๆไม่ต้องเจอผู้คนมากมาย พ่อเป็นคนขี้อายไม่ค่อยพูด ส่วนแม่ชอบขายของ ชอบพูดชอบคุย อยากมีร้านขายดอกไม้ ต้นไม้ ร้านขายผัก และน้องสาวอยากมีร้านนม ขายน้ำผลไม้เล็กๆ เป็นของตัวเอง ส่วนผมชอบงานออกแบบครับ อยากต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ให้ดีขึ้น นำฝันของทุกคนมารวมกัน จนกลายเป็น farmstays บ้านไร่ ที่กำลังสร้างมันขึ้นมาอยู่ในตอนนี้ เป็นที่พักเล็กๆเชิงเกษตร มีอยู่ทั้งหมด ๕ หลังครับ ยังคงปลูกผัก ขายผัก ขุดดิน เก็บหิน กิ่งไม้ ต่อเติม สร้างที่พัก พื้นที่แห่งรักของผมไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าการหันกลับมาเป็นเกษตรกรของผม รายได้อาจไม่เท่ากับเงินเดือนตอนเป็นสถาปนิก แต่สำหรับผมแล้วเงินไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ความสุขที่ได้กลับมาดูแลคนที่เรารัก ต่างหากที่สำคัญและมีค่ามากกว่า “หากภาระหน้าที่ ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ได้มอบรอยยิ้มและความสุขให้กับใครสักคน แค่นี้..ชีวิตก็โคตรมีความหมายแล้วครับ”
ต้องขอขอบคุณความคิดดีๆ ที่ฟังแล้วสะกิดใจเลยทีเดียว สุดท้ายนี้ให้พี่เบสท์ฝากข้อคิดดีๆ ให้กับน้องๆ หน่อยค่ะ
ทุกวันนี้ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ หรือเป็นคนเก่งอะไรหรอกครับ ผมเพิ่งจะเริ่มต้นลงมือทำมันเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเรียนได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ เราจบจากคณะอะไร สิ่งสำคัญคือเราได้นำความรู้ที่เราร่ำเรียนมา มาปรับใช้ พัฒนา ต่อยอดและมีความสุขกับการทำงานในการใช้ชีวิตจริงได้ หาเป้าหมายและสิ่งที่ตัวเองชอบให้เจอให้เร็วที่สุดครับ เพราะมันเป็นเครื่องนำทางเราไปตลอดชีวิต ชีวิตเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ เราก็จะได้อยู่กับมันไปนานๆ “คนที่มีชีวิตน่าอิจฉา ไม่ใช่คนที่มีเงินเยอะที่สุด แต่คือคนที่มีอิสระได้เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรักมากที่สุด” ต่างหากครับ สุดท้ายครับน้องๆคนไหน อยากติดตามความเคลื่อนไหว farmstays บ้านไร่ ไออรุณ สามารถติมตามได้ทาง facebook / baanraiiarun